| ||
|
วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
บะหมี่กึ่งสำเร็จ
ทำไมแป้นพิมพ์ ไม่เรียง A B C
รู้หรือป่าว !! ทำไม ตัวอักษรในแป้นพิมพ์ทั้งของเครื่องพิมพ์ดีดและคอมพิวเตอร์ ถึงไม่เรียงกันตามลำดับอักษรเช่น A B C
สำหรับการเรียงอักษรบนแป้นพิมพ์ในปัจจุบันนั้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการเรียง ที่เรียกว่า QWERTY (คิวเวอร์ตี้) ที่เรียกกันอย่างนี้เพราะเป็นการนำอักษร 6 ตัวแรก(เมื่อนับจากซ้ายมาขวา) ของแป้นพิมพ์ที่เป็นตัวอักษรแถวบนมาต่อกัน และถ้าหากจะถามว่าทำไมถึงต้องเรียงแบบนี้ เราคงต้องย้อนกลับไปในอดีตกันซะหน่อย
การเรียงลำดับ อักษรของแป้นพิมพ์ในปัจจุบันนั้น มีที่มาจากข้อจำกัดที่เกิดกับเครื่องพิมพ์ดีดในยุคแรกๆ ที่ยังจัดแป้นพิมพ์แบบเรียงตามลำดับตัวอักษรคือ เมื่อคนที่พิมพ์ดีดได้คล่องและเร็วมาพิมพ์จะทำให้ก้านพิมพ์ดีดขัดกันอยู่ เสมอ ต่อมา คริสโตเฟอร์ ลาแธม โชลส์ วิศวกรเครื่องกลชาวสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ดีดสมัยใหม่รายแรกและได้รับสิทธิบัตรในปี 1868 จึงทำการเรียงลำดับตัวอักษรเสียใหม่ด้วยการแยกตัวอักษรที่มักใช้มาผสมเป็นคำ ร่วมกันบ่อยๆ ออกไปอยู่กันคนละฝั่งของแป้นพิมพ์ เพื่อทำให้นักพิมพ์ดีดพิมพ์ได้ช้าลงกว่าเดิม จะได้ไม่เกิดปัญหาก้านพิมพ์ขัดกันอีก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกผู้คนยังคงไม่นิยมเครื่องพิมพ์ดีดของเขามากนัก ทำให้โชลส์ตัดสินใจขายสิทธิบัตรดังกล่าวให้กับทางบริษัท เรมิงตันอาร์มคอมพานี ในปี 1973 ซึ่งปรากฏว่าหลังจากที่ทางเรมิงตันผลิตเครื่องพิมพ์ดีดออกมาจำหน่าย ความนิยมในตัวเครื่องพิมพ์ดีดกลับเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
ใน เวลาต่อมา ปรากฏว่ามีผู้พยายามจัดเรียงตัวอักษรบนแป้นพิมพ์เป็นแบบต่างๆ ซึ่งแบบที่ได้รับความนิยมมากหน่อยก็อย่างเช่น แบบ DVORAK ซึ่งเคยมีการบอกกล่าวกันว่าการเรียงในรูปแบบนี้จะทำให้พิมพ์เร็วขึ้น จนทางห้างร้านบริษัทหลายแห่งเริ่มนิยมกันอยู่พักหนึ่ง แต่ว่าในปี 1956 ทาง General Services Administration ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่หน่วยงานอื่นๆของรัฐ ได้ทำการศึกษาการจัดแป้นพิมพ์ทั้ง 2 แบบ และก็พบว่า การจัดแบบ QWERTY นั้น ทำให้พิมพ์ได้เร็วเท่ากับหรือมากกว่าแบบ DVORAK ทำให้ความนิยมของการจัดแป้นพิมพ์แบบ DVORAK ลดลงไป
ทั้ง นี้ หลายคนอาจจะคิดว่า ปัจจุบันเราก็ไม่ได้นิยมใช้พิมพ์ดีดแบบเมื่อก่อนแล้ว ดังนั้นปัญหาเรื่องก้านพิมพ์ขัดกันก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาต่อไป แล้วทำไมเราจึงไม่เปลี่ยนกลับไปใช้แป้นพิมพ์แบบเรียงตามตัวอักษรเหมือนก่อน ซึ่งคำตอบสำหรับคำถามนี้หลายคนคงพอเดากันได้ว่าเป็นเพราะ เราคุ้นเคยและเคยชินกับแบบ QWERTY จนไม่อยากจะกลับไปเสียเวลาเริ่มนับหนึ่งกับแบบเดิมเสียแล้ว
ปล. แป้นพิมพ์ภาษาไทย ก็ให้เหตุผลเดียวกัน
ข้อมูล : Forward Mail
credit:ครูบ้านนอกดอทคอม
สำหรับการเรียงอักษรบนแป้นพิมพ์ในปัจจุบันนั้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการเรียง ที่เรียกว่า QWERTY (คิวเวอร์ตี้) ที่เรียกกันอย่างนี้เพราะเป็นการนำอักษร 6 ตัวแรก(เมื่อนับจากซ้ายมาขวา) ของแป้นพิมพ์ที่เป็นตัวอักษรแถวบนมาต่อกัน และถ้าหากจะถามว่าทำไมถึงต้องเรียงแบบนี้ เราคงต้องย้อนกลับไปในอดีตกันซะหน่อย
การเรียงลำดับ อักษรของแป้นพิมพ์ในปัจจุบันนั้น มีที่มาจากข้อจำกัดที่เกิดกับเครื่องพิมพ์ดีดในยุคแรกๆ ที่ยังจัดแป้นพิมพ์แบบเรียงตามลำดับตัวอักษรคือ เมื่อคนที่พิมพ์ดีดได้คล่องและเร็วมาพิมพ์จะทำให้ก้านพิมพ์ดีดขัดกันอยู่ เสมอ ต่อมา คริสโตเฟอร์ ลาแธม โชลส์ วิศวกรเครื่องกลชาวสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ดีดสมัยใหม่รายแรกและได้รับสิทธิบัตรในปี 1868 จึงทำการเรียงลำดับตัวอักษรเสียใหม่ด้วยการแยกตัวอักษรที่มักใช้มาผสมเป็นคำ ร่วมกันบ่อยๆ ออกไปอยู่กันคนละฝั่งของแป้นพิมพ์ เพื่อทำให้นักพิมพ์ดีดพิมพ์ได้ช้าลงกว่าเดิม จะได้ไม่เกิดปัญหาก้านพิมพ์ขัดกันอีก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกผู้คนยังคงไม่นิยมเครื่องพิมพ์ดีดของเขามากนัก ทำให้โชลส์ตัดสินใจขายสิทธิบัตรดังกล่าวให้กับทางบริษัท เรมิงตันอาร์มคอมพานี ในปี 1973 ซึ่งปรากฏว่าหลังจากที่ทางเรมิงตันผลิตเครื่องพิมพ์ดีดออกมาจำหน่าย ความนิยมในตัวเครื่องพิมพ์ดีดกลับเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
ใน เวลาต่อมา ปรากฏว่ามีผู้พยายามจัดเรียงตัวอักษรบนแป้นพิมพ์เป็นแบบต่างๆ ซึ่งแบบที่ได้รับความนิยมมากหน่อยก็อย่างเช่น แบบ DVORAK ซึ่งเคยมีการบอกกล่าวกันว่าการเรียงในรูปแบบนี้จะทำให้พิมพ์เร็วขึ้น จนทางห้างร้านบริษัทหลายแห่งเริ่มนิยมกันอยู่พักหนึ่ง แต่ว่าในปี 1956 ทาง General Services Administration ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่หน่วยงานอื่นๆของรัฐ ได้ทำการศึกษาการจัดแป้นพิมพ์ทั้ง 2 แบบ และก็พบว่า การจัดแบบ QWERTY นั้น ทำให้พิมพ์ได้เร็วเท่ากับหรือมากกว่าแบบ DVORAK ทำให้ความนิยมของการจัดแป้นพิมพ์แบบ DVORAK ลดลงไป
ทั้ง นี้ หลายคนอาจจะคิดว่า ปัจจุบันเราก็ไม่ได้นิยมใช้พิมพ์ดีดแบบเมื่อก่อนแล้ว ดังนั้นปัญหาเรื่องก้านพิมพ์ขัดกันก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาต่อไป แล้วทำไมเราจึงไม่เปลี่ยนกลับไปใช้แป้นพิมพ์แบบเรียงตามตัวอักษรเหมือนก่อน ซึ่งคำตอบสำหรับคำถามนี้หลายคนคงพอเดากันได้ว่าเป็นเพราะ เราคุ้นเคยและเคยชินกับแบบ QWERTY จนไม่อยากจะกลับไปเสียเวลาเริ่มนับหนึ่งกับแบบเดิมเสียแล้ว
ปล. แป้นพิมพ์ภาษาไทย ก็ให้เหตุผลเดียวกัน
ข้อมูล : Forward Mail
credit:ครูบ้านนอกดอทคอม
8วิธีกินเส้นเน้นสุขภาพ
8 วิธีกินเส้นเน้นสุขภาพ
+ การใส่บะหมี่ในน้ำ พร้อมเครื่องปรุงและต้มประมาณ 3 นาที จนเดือด เป็นวิธีที่ผิดเพราะจะทำเส้นบะหมี่สำเร็จรูปซึ่งเคลือบด้วย Wax ผสมผงชูรสกลายสภาพเป็นสารพิษ ซึ่งร่ายกายต้องใช้เวลา 4-5 วันในการขับออกจากร่างกาย
+ วิธีต้มที่ถูกต้อง คือ เทบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในน้ำและต้มจนเดือด เมื่อบะหมี่สุกแล้ว เทน้ำที่ต้มซึ่งมีส่วนผสมของ Wax ผสมผงชูรสซึ่งเป็นสารพิษทิ้ง ต้มน้ำใหม่ให้เดือดอีกครั้ง และใส่เส้นบะหมี่ที่ต้มไว้ลงไป ปิดไฟ แล้วจึงใส่เครื่องปรุงขณะน้ำยังร้อน เพื่อป้องกันผงชูรสในเครื่องปรุงกลายเป็นสารพิษ สำหรับบะหมี่แห้งสามารถใส่เครื่องปรุงได้ทันที เมื่อช้อนเส้นขึ้นจากน้ำเดือด
+ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์อุบลราชธานี พบว่า มีการเติม กรดเบนโซอิกและกรดซอร์บิก สารกันบูดเกินปริมาณกำหนดของคณะกรรมการกำหนดมาตรฐานอาหารสากล (Codex) คือ มากกว่า 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กพบปริมาณกรดเบนโซอิกสูงสุด รองลงมาเป็นเส้นหมี่ ก๋วยจั๊บเส้นใหญ่ ก๋วยจั๊บเส้นเล็ก บะหมี่โซบะ และก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ หากร่างกายได้รับในปริมาณสูงเป็นเวลานานๆ จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของตับและไตลดลง
+ บะหมี่บีทรูทอุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ เกลือแร่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม สารไนเตรต สารเบทานิน ที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง คุณสมบัติพิเศษกว่าผักชนิดอื่นคือ ไม่ว่าผ่านการปรุงหรือถนอมอาหารแบบใดก็ยังคงความสดและคุณค่าได้ดี โดยนำส่วนประกอบของบีทรูทเข้ามาแทนที่ของน้ำเปล่า นอกจากคุณค่าอาหารจะเพิ่มขึ้นแล้ว บะหมี่ยังมีสีชมพูน่ากินอีกด้วย สนใจดูแลสุขภาพในปัจจุบัน ฉัตรทิพย์ เจ้าของเมนูได้ที่เบอร์ 085-899-81220
+ คนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก จนงดกินข้าวเพราะอ้างว่าต้องการงดคาร์โบไฮเดรต ที่จะทำให้อ้วนได้ไม่แพ้ไขมันนั้นควรอย่างยิ่งที่จะกินบะหมี่บ้าง เพราะบะหมี่เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ยอดเยี่ยมพอๆ กับก๋วยเตี๋ยว สปาเกตตี มะกะโรนี และโรตี คุณสามารถกินได้บ่อยๆ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะอ้วน เพราะบะหมี่เป็นคาร์โบไฮเดรตละเอียด มีคุณสมบัติย่อยง่ายกว่าคาร์โบไฮเดรตชนิดธรรมดา
+ ตอนเลือกซื้อต้องสังเกตบนซอง ว่ามีสารไอโอดีน ธาตุเหล็ก และวิตามินเอ อยู่ด้วย เมื่อนำมาปรุงจะต้องเติมไข่ หรือเนื้อสัตว์ และผัก ลงไปทุกครั้ง ที่สำคัญต้องไม่ลืมฉีกซองเครื่องปรุงใส่ลงในบะหมี่ทุกครั้ง ที่ปรุง ใส่น้ำให้พอดี ซดน้ำให้ได้มากที่สุด หมดชามยิ่งดี เพราะเท่ากับว่า ได้รับสารอาหาร 3 ชนิดเข้าสู่ร่างกายอย่างเต็มที่
+ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แนะทางในการกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้ปลอดภัยและได้ประโยชน์คือ ลดเครื่องปรุงให้เหลือเพียงครึ่งหนึ่งหรือน้อยกว่านั้น เติมเนื้อสัตว์และผักเพื่อให้ร่างกาย ได้รับสารอาหารเพิ่มมากขึ้น และไม่ควรกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปติดต่อกันประจำเป็นเวลานาน เพราะจะเสี่ยงต่อการได้รับโซเดียมมากเกินไปจนเกิดการสะสมในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุของความดันโลหิตสูง
+ ปัจจุบันได้มีการวิจัยบะหมี่สูตรลดความอ้วน โดยช่วยให้อิ่มนาน ทั้งยังดูดซับคอเลส-เตอรอลส่วนเกินในลำไส้และช่วยเรื่องระบบขับถ่ายด้วย โดยลดส่วนผสมปริมาณแป้งสาลีในบะหมี่ 1 ก้อน ซึ่งหนักประมาณ 50 กรัม ให้น้อยลง และเติมสารเพคตินที่สกัดได้จากเปลือกมะนาวเข้าไปประมาณ 6 กรัมเพื่อให้ออกฤทธิ์สลายคอเลสเตอรอลในกระเพาะอาหาร เมื่อสารเพคตินเข้าสู่กระเพาะอาหารจะพองตัวและแปรสภาพเป็นสารอาหารที่มีความหนืดคล้ายแยมทาขนมปัง ช่วยให้อิ่มนานกว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทั่วไป ทั้งยังออกฤทธิ์ต่อเอนไซม์ในลำไส้ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ระบบขับถ่ายทำงานปกติ จากการทดสอบในอาสาสมัคร พบว่า รอบเอวลดลงประมาณ 2 นิ้ว บะหมี่ลดน้ำหนักที่พัฒนาขึ้นมีอยู่ 2 รสชาติ คือ รสแกงส้มและรสต้มขมิ้น ในรูปของบะหมี่เจผ่านการรับรองจาก คณะกรรมการอาหารฮาลาล และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะผลิตบะหมี่ออกมาจำหน่ายไม่เกินปีหน้า ชาวจีนโบราณเชื่อว่าการกินเส้นบะหมี่เป็นการเสริมมงคล แต่สมัยนี้ถ้าจะให้ได้ผลจริงๆ ก็ควรต้องกินให้ถูกวิธี ถูกหลักอนามัยด้วย ชีวิตของคุณจึงจะยืดยาว
เรื่อง : LuckyAries
credit:www.sanook.com
+ การใส่บะหมี่ในน้ำ พร้อมเครื่องปรุงและต้มประมาณ 3 นาที จนเดือด เป็นวิธีที่ผิดเพราะจะทำเส้นบะหมี่สำเร็จรูปซึ่งเคลือบด้วย Wax ผสมผงชูรสกลายสภาพเป็นสารพิษ ซึ่งร่ายกายต้องใช้เวลา 4-5 วันในการขับออกจากร่างกาย
+ วิธีต้มที่ถูกต้อง คือ เทบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในน้ำและต้มจนเดือด เมื่อบะหมี่สุกแล้ว เทน้ำที่ต้มซึ่งมีส่วนผสมของ Wax ผสมผงชูรสซึ่งเป็นสารพิษทิ้ง ต้มน้ำใหม่ให้เดือดอีกครั้ง และใส่เส้นบะหมี่ที่ต้มไว้ลงไป ปิดไฟ แล้วจึงใส่เครื่องปรุงขณะน้ำยังร้อน เพื่อป้องกันผงชูรสในเครื่องปรุงกลายเป็นสารพิษ สำหรับบะหมี่แห้งสามารถใส่เครื่องปรุงได้ทันที เมื่อช้อนเส้นขึ้นจากน้ำเดือด
+ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์อุบลราชธานี พบว่า มีการเติม กรดเบนโซอิกและกรดซอร์บิก สารกันบูดเกินปริมาณกำหนดของคณะกรรมการกำหนดมาตรฐานอาหารสากล (Codex) คือ มากกว่า 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กพบปริมาณกรดเบนโซอิกสูงสุด รองลงมาเป็นเส้นหมี่ ก๋วยจั๊บเส้นใหญ่ ก๋วยจั๊บเส้นเล็ก บะหมี่โซบะ และก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ หากร่างกายได้รับในปริมาณสูงเป็นเวลานานๆ จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของตับและไตลดลง
+ บะหมี่บีทรูทอุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ เกลือแร่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม สารไนเตรต สารเบทานิน ที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง คุณสมบัติพิเศษกว่าผักชนิดอื่นคือ ไม่ว่าผ่านการปรุงหรือถนอมอาหารแบบใดก็ยังคงความสดและคุณค่าได้ดี โดยนำส่วนประกอบของบีทรูทเข้ามาแทนที่ของน้ำเปล่า นอกจากคุณค่าอาหารจะเพิ่มขึ้นแล้ว บะหมี่ยังมีสีชมพูน่ากินอีกด้วย สนใจดูแลสุขภาพในปัจจุบัน ฉัตรทิพย์ เจ้าของเมนูได้ที่เบอร์ 085-899-81220
+ คนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก จนงดกินข้าวเพราะอ้างว่าต้องการงดคาร์โบไฮเดรต ที่จะทำให้อ้วนได้ไม่แพ้ไขมันนั้นควรอย่างยิ่งที่จะกินบะหมี่บ้าง เพราะบะหมี่เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ยอดเยี่ยมพอๆ กับก๋วยเตี๋ยว สปาเกตตี มะกะโรนี และโรตี คุณสามารถกินได้บ่อยๆ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะอ้วน เพราะบะหมี่เป็นคาร์โบไฮเดรตละเอียด มีคุณสมบัติย่อยง่ายกว่าคาร์โบไฮเดรตชนิดธรรมดา
+ ตอนเลือกซื้อต้องสังเกตบนซอง ว่ามีสารไอโอดีน ธาตุเหล็ก และวิตามินเอ อยู่ด้วย เมื่อนำมาปรุงจะต้องเติมไข่ หรือเนื้อสัตว์ และผัก ลงไปทุกครั้ง ที่สำคัญต้องไม่ลืมฉีกซองเครื่องปรุงใส่ลงในบะหมี่ทุกครั้ง ที่ปรุง ใส่น้ำให้พอดี ซดน้ำให้ได้มากที่สุด หมดชามยิ่งดี เพราะเท่ากับว่า ได้รับสารอาหาร 3 ชนิดเข้าสู่ร่างกายอย่างเต็มที่
+ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แนะทางในการกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้ปลอดภัยและได้ประโยชน์คือ ลดเครื่องปรุงให้เหลือเพียงครึ่งหนึ่งหรือน้อยกว่านั้น เติมเนื้อสัตว์และผักเพื่อให้ร่างกาย ได้รับสารอาหารเพิ่มมากขึ้น และไม่ควรกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปติดต่อกันประจำเป็นเวลานาน เพราะจะเสี่ยงต่อการได้รับโซเดียมมากเกินไปจนเกิดการสะสมในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุของความดันโลหิตสูง
+ ปัจจุบันได้มีการวิจัยบะหมี่สูตรลดความอ้วน โดยช่วยให้อิ่มนาน ทั้งยังดูดซับคอเลส-เตอรอลส่วนเกินในลำไส้และช่วยเรื่องระบบขับถ่ายด้วย โดยลดส่วนผสมปริมาณแป้งสาลีในบะหมี่ 1 ก้อน ซึ่งหนักประมาณ 50 กรัม ให้น้อยลง และเติมสารเพคตินที่สกัดได้จากเปลือกมะนาวเข้าไปประมาณ 6 กรัมเพื่อให้ออกฤทธิ์สลายคอเลสเตอรอลในกระเพาะอาหาร เมื่อสารเพคตินเข้าสู่กระเพาะอาหารจะพองตัวและแปรสภาพเป็นสารอาหารที่มีความหนืดคล้ายแยมทาขนมปัง ช่วยให้อิ่มนานกว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทั่วไป ทั้งยังออกฤทธิ์ต่อเอนไซม์ในลำไส้ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ระบบขับถ่ายทำงานปกติ จากการทดสอบในอาสาสมัคร พบว่า รอบเอวลดลงประมาณ 2 นิ้ว บะหมี่ลดน้ำหนักที่พัฒนาขึ้นมีอยู่ 2 รสชาติ คือ รสแกงส้มและรสต้มขมิ้น ในรูปของบะหมี่เจผ่านการรับรองจาก คณะกรรมการอาหารฮาลาล และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะผลิตบะหมี่ออกมาจำหน่ายไม่เกินปีหน้า ชาวจีนโบราณเชื่อว่าการกินเส้นบะหมี่เป็นการเสริมมงคล แต่สมัยนี้ถ้าจะให้ได้ผลจริงๆ ก็ควรต้องกินให้ถูกวิธี ถูกหลักอนามัยด้วย ชีวิตของคุณจึงจะยืดยาว
เรื่อง : LuckyAries
credit:www.sanook.com
ปูอัดแท้จริงทำมาจากปลา
ทำไมเรียกปูอัดทั้งที่ทำมาจากปลา
ทราบกันหรือเปล่าครับว่า ปูอัดทำมาจากปลา บางคนทราบ บางคนไม่ทราบ คำถามคือ แล้วทำไมจึงเรียกปูอัดละ วันนี้มีคำตอบครับ
ปูอัดนั้น ภาษาทางการเรียกว่า เนื้อปูเทียม การผลิตเนื้อปูเทียม เกิดจากความคิดที่ว่า ปลาที่จับได้ในปัจจุบันส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก ถือว่าไม่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจเพราะผู้บริโภคไม่นิยมราคาจึงถูกมาก ประมาณร้อยละ ๙๐ ของปลาขนาดเล็กหรือที่เรียกว่า ปลาเป็ด จะถูกนำไปทำเป็นปลาป่นสำหรับใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารสัตว์ นับได้ว่าเป็นการใช้ทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างไม่มีประสิทธิภาพ และแล้วบริษัทแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นก็คิดค้นนำปลาดังว่านี้มาทำเป็นเนื้อปูเทียมขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๑๘
ไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีศักยภาพในการทำประมง และมีบริษัทผลิตเนื้อปูเทียมมานานหลายปีแล้ว ปลาที่ใช้ได้แก่ ปลาทรายแดง ปลาทรายขาว ปลาตาโต ปลาดาบ ปลากะพง ฯลฯ วิธีทำเริ่มต้นจากการนำปลามาตัดหัว ควักไส้ทิ้ง ส่งเข้าเครื่องบีบเอาแต่เนื้อปลา นำปลาบดที่ได้มาผสมเครื่องปรุงจำพวกแป้ง น้ำตาล เกลือ ผงชูรส และกลิ่นปู เสร็จแล้วนำไปทำให้สุกและทำให้เนื้อปลามีลักษณะเป็นเส้นเหมือนเนื้อปูจริง ๆ จากนั้นจึงอัดเป็นแท่งยาว ๆ แล้วตกแต่งสีให้ดูเหมือนเนื้อปูจริง ๆ บางบริษัทถึงกับอัดเนื้อปูเทียมเป็นรูปก้ามปู (ที่แกะเปลือกแล้ว) ดูน่ากิน
อย่างไรก็ตาม มีผู้บริโภคจำนวนมากคิดว่าปูอัดเป็นเนื้อปูจริง ๆ พอรู้ในภายหลังว่าทำมาจากเนื้อปลา ถึงกับเลิกกินไปเลยก็มี
ที่มา หนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม / สำนักพิมพ์สารคดี
ทราบกันหรือเปล่าครับว่า ปูอัดทำมาจากปลา บางคนทราบ บางคนไม่ทราบ คำถามคือ แล้วทำไมจึงเรียกปูอัดละ วันนี้มีคำตอบครับ
ปูอัดนั้น ภาษาทางการเรียกว่า เนื้อปูเทียม การผลิตเนื้อปูเทียม เกิดจากความคิดที่ว่า ปลาที่จับได้ในปัจจุบันส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก ถือว่าไม่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจเพราะผู้บริโภคไม่นิยมราคาจึงถูกมาก ประมาณร้อยละ ๙๐ ของปลาขนาดเล็กหรือที่เรียกว่า ปลาเป็ด จะถูกนำไปทำเป็นปลาป่นสำหรับใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารสัตว์ นับได้ว่าเป็นการใช้ทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างไม่มีประสิทธิภาพ และแล้วบริษัทแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นก็คิดค้นนำปลาดังว่านี้มาทำเป็นเนื้อปูเทียมขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๑๘
ไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีศักยภาพในการทำประมง และมีบริษัทผลิตเนื้อปูเทียมมานานหลายปีแล้ว ปลาที่ใช้ได้แก่ ปลาทรายแดง ปลาทรายขาว ปลาตาโต ปลาดาบ ปลากะพง ฯลฯ วิธีทำเริ่มต้นจากการนำปลามาตัดหัว ควักไส้ทิ้ง ส่งเข้าเครื่องบีบเอาแต่เนื้อปลา นำปลาบดที่ได้มาผสมเครื่องปรุงจำพวกแป้ง น้ำตาล เกลือ ผงชูรส และกลิ่นปู เสร็จแล้วนำไปทำให้สุกและทำให้เนื้อปลามีลักษณะเป็นเส้นเหมือนเนื้อปูจริง ๆ จากนั้นจึงอัดเป็นแท่งยาว ๆ แล้วตกแต่งสีให้ดูเหมือนเนื้อปูจริง ๆ บางบริษัทถึงกับอัดเนื้อปูเทียมเป็นรูปก้ามปู (ที่แกะเปลือกแล้ว) ดูน่ากิน
อย่างไรก็ตาม มีผู้บริโภคจำนวนมากคิดว่าปูอัดเป็นเนื้อปูจริง ๆ พอรู้ในภายหลังว่าทำมาจากเนื้อปลา ถึงกับเลิกกินไปเลยก็มี
ที่มา หนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม / สำนักพิมพ์สารคดี
1. ครั้งแรกของ “Microsoft”
ชื่อ “Microsoft” นั้นถูกใช้เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ปี 1975 ในจดหมายที่ Bill Gates ส่งถึง Paul Allen ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท โดยครั้งแรกนั้นจะเขียนเป็น “Micro-Soft” และอีกหนึ่งปีคือวันที่ 26 พฤศจิกายน ปี 1976 เครื่องหมายการค้านี้ก็ถูกใช้เป็นชื่อบริษัทนับตั้งแต่นั้นมา
2. เขตปลอด iPod และ Googleได้ชื่อว่าเป็นซีอีโอของไมโครซอฟท์ Steve Balmer จึงได้ปลูกฝังลูกๆ ของเขาให้ใช้แต่ผลิตภัณฑ์ของไมโครซอฟท์ โดยตอนหนึ่งของบทสัมภาษณ์กับสถานี CNN เขากล่าวว่า “ลูกๆ ของผมก็เหมือนเด็กทั่วๆ ไป ที่อาจจะไม่ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดตลอดเวลา แต่สิ่งหนึ่งที่ผมทำสำเร็จก็คือการล้างสมองพวกเขาไม่ ให้ใช้ Google และ iPod”
3. เกมตัวเลข I
ปัจจุบันไมโครซอฟท์จ้างพนักงาน 95,828 คนทั่วโลก โดยพนักงานเหล่านั้นมีอายุเฉลี่ย 37 ปี ในจำนวนนี้เป็นผู้ชาย 74.7 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ไมโครซอฟท์ยังครอบครองอสังหาริมทรัพย์ (ทั่วโลก) ทั้งหมด 88 แห่ง คิดเป็นพื้นที่รวม 1,121,739.83 ตารางเมตร
4. เฉพาะ Mac เท่านั้น
โปรแกรม MS Office เวอร์ชั่นแรกเปิดตัวเมื่อปี 1989 โดยมีให้เลือกทั้งแบบที่เป็นฟลอบปี้ดิสก์และซีดีรอม และสามารถใช้กับระบบปฏิบัติการ “Mac OS” เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนเวอร์ชั่นสำหรับวินโดว์สของ Word, Excel, PowerPoint นั้นตามออกมาในปี 1990 (Microsoft Office 3.0)
5. พิเศษเฉพาะวินโดว์ส
เสียงเริ่มต้นของวินโดว์ส 95 นั้นถูกเรียบเรียงขึ้นเป็นพิเศษโดยนักแต่งเพลง Brian Eno และถูกบันทึกด้วยเครื่อง Apple Macintosh ส่วนเสียงที่ใช้ในวิสต้านั้นถูกเรียบเรียงโดย Robert Fripp อดีตมือกีต้าร์แห่งวง King Crimson
6. เกมตัวเลข II
ในแต่ละวัน Microsoft Dining Service ซึ่งเป็นแผนกที่รับผิดชอบเรื่องการดูแลเรื่องอาหารการกินให้กับพนักงานในเรดมอนด์จะต้องเตรียมพิซซ่าไว้รองรับมากถึง 2,200 ชิ้น และในแต่ละปี พนักงานของไมโครซอฟท์จะบริโภคนม 4 ล้านกล่อง น้ำแร่ 7 ล้านขวด และชาผง 2 ล้านซอง
7. กว่า 12,000 วัน กับไมโครซอฟท์
Bill Gates ทำงานตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 1975 จนกระทั่งเกษียณตัวเองไปเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2008 ในบริษัทที่ตัวเองก่อตั้งขึ้น ซึ่งคิดเป็นจำนวนวันทั้งหมด 12,139 วัน (รวมวันหยุดพิเศษและวันหยุดประจำสัปดาห์)
8. ปู่ทวดของวินโดว์สระบบปฏิบัติการตัวแรกของไมโครซอฟท์มีชื่อว่า “Xenix” โดยทายาทของ Unix ตัวนี้ถูกเปิดตัวสู่ตลาดครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 1980 โดย Bill Gates ต้องการที่จะผลักดันให้มันเป็นมาตรฐานของระบบปฏิบัติ การสำหรับพีซี แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะ Xenix จำเป็นต้องใช้ฮาร์ดดิสก์และหน่วยความจำในการทำงานถึง 256KB ซึ่งในขณะนั้นเครื่องพีซีจะมีหน่วยความจำสูงสุดแค่ 64KB ในขณะที่ฮาร์ดดิสก์ก็ยังมีราคาแพงมาก
9. ปุ่ม Save ที่ผิดพลาด
เคยสังเกตไหมว่ามีอะไรผิดปกติกับไอคอน “Save” ในโปรแกรม Office เวอร์ชั่นก่อนหน้า 2003 ทั้งหมด … คำตอบคือ ช่องอ่านแผ่นบนแผ่นเหล็กที่เลื่อนไป-มาได้ถูกวางไว้สลับด้านกัน
10. 16 พันล้านชุดข้อมูลบน Excel
ตารางทำงานของ Excel 2007 รองรับข้อมูลได้ถึง 16,000 คอลัมน์ กับอีก 1 ล้านแถว หรือคิดเป็นจำนวนมากถึง 16,000,000,000 ชุดข้อมูลในหนึ่งตารางเลยทีเดียว
credit:www.notebook.com
ชื่อ “Microsoft” นั้นถูกใช้เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ปี 1975 ในจดหมายที่ Bill Gates ส่งถึง Paul Allen ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท โดยครั้งแรกนั้นจะเขียนเป็น “Micro-Soft” และอีกหนึ่งปีคือวันที่ 26 พฤศจิกายน ปี 1976 เครื่องหมายการค้านี้ก็ถูกใช้เป็นชื่อบริษัทนับตั้งแต่นั้นมา
2. เขตปลอด iPod และ Googleได้ชื่อว่าเป็นซีอีโอของไมโครซอฟท์ Steve Balmer จึงได้ปลูกฝังลูกๆ ของเขาให้ใช้แต่ผลิตภัณฑ์ของไมโครซอฟท์ โดยตอนหนึ่งของบทสัมภาษณ์กับสถานี CNN เขากล่าวว่า “ลูกๆ ของผมก็เหมือนเด็กทั่วๆ ไป ที่อาจจะไม่ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดตลอดเวลา แต่สิ่งหนึ่งที่ผมทำสำเร็จก็คือการล้างสมองพวกเขาไม่ ให้ใช้ Google และ iPod”
3. เกมตัวเลข I
ปัจจุบันไมโครซอฟท์จ้างพนักงาน 95,828 คนทั่วโลก โดยพนักงานเหล่านั้นมีอายุเฉลี่ย 37 ปี ในจำนวนนี้เป็นผู้ชาย 74.7 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ไมโครซอฟท์ยังครอบครองอสังหาริมทรัพย์ (ทั่วโลก) ทั้งหมด 88 แห่ง คิดเป็นพื้นที่รวม 1,121,739.83 ตารางเมตร
4. เฉพาะ Mac เท่านั้น
โปรแกรม MS Office เวอร์ชั่นแรกเปิดตัวเมื่อปี 1989 โดยมีให้เลือกทั้งแบบที่เป็นฟลอบปี้ดิสก์และซีดีรอม และสามารถใช้กับระบบปฏิบัติการ “Mac OS” เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนเวอร์ชั่นสำหรับวินโดว์สของ Word, Excel, PowerPoint นั้นตามออกมาในปี 1990 (Microsoft Office 3.0)
5. พิเศษเฉพาะวินโดว์ส
เสียงเริ่มต้นของวินโดว์ส 95 นั้นถูกเรียบเรียงขึ้นเป็นพิเศษโดยนักแต่งเพลง Brian Eno และถูกบันทึกด้วยเครื่อง Apple Macintosh ส่วนเสียงที่ใช้ในวิสต้านั้นถูกเรียบเรียงโดย Robert Fripp อดีตมือกีต้าร์แห่งวง King Crimson
6. เกมตัวเลข II
ในแต่ละวัน Microsoft Dining Service ซึ่งเป็นแผนกที่รับผิดชอบเรื่องการดูแลเรื่องอาหารการกินให้กับพนักงานในเรดมอนด์จะต้องเตรียมพิซซ่าไว้รองรับมากถึง 2,200 ชิ้น และในแต่ละปี พนักงานของไมโครซอฟท์จะบริโภคนม 4 ล้านกล่อง น้ำแร่ 7 ล้านขวด และชาผง 2 ล้านซอง
7. กว่า 12,000 วัน กับไมโครซอฟท์
Bill Gates ทำงานตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 1975 จนกระทั่งเกษียณตัวเองไปเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2008 ในบริษัทที่ตัวเองก่อตั้งขึ้น ซึ่งคิดเป็นจำนวนวันทั้งหมด 12,139 วัน (รวมวันหยุดพิเศษและวันหยุดประจำสัปดาห์)
8. ปู่ทวดของวินโดว์สระบบปฏิบัติการตัวแรกของไมโครซอฟท์มีชื่อว่า “Xenix” โดยทายาทของ Unix ตัวนี้ถูกเปิดตัวสู่ตลาดครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 1980 โดย Bill Gates ต้องการที่จะผลักดันให้มันเป็นมาตรฐานของระบบปฏิบัติ การสำหรับพีซี แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะ Xenix จำเป็นต้องใช้ฮาร์ดดิสก์และหน่วยความจำในการทำงานถึง 256KB ซึ่งในขณะนั้นเครื่องพีซีจะมีหน่วยความจำสูงสุดแค่ 64KB ในขณะที่ฮาร์ดดิสก์ก็ยังมีราคาแพงมาก
9. ปุ่ม Save ที่ผิดพลาด
เคยสังเกตไหมว่ามีอะไรผิดปกติกับไอคอน “Save” ในโปรแกรม Office เวอร์ชั่นก่อนหน้า 2003 ทั้งหมด … คำตอบคือ ช่องอ่านแผ่นบนแผ่นเหล็กที่เลื่อนไป-มาได้ถูกวางไว้สลับด้านกัน
10. 16 พันล้านชุดข้อมูลบน Excel
ตารางทำงานของ Excel 2007 รองรับข้อมูลได้ถึง 16,000 คอลัมน์ กับอีก 1 ล้านแถว หรือคิดเป็นจำนวนมากถึง 16,000,000,000 ชุดข้อมูลในหนึ่งตารางเลยทีเดียว
credit:www.notebook.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)